top of page

ชุมชนกุฎีจีน; หลากหลายวัฒนธรรมแต่กลมกลืนในตนเอง (ตอนที่ 1)

ด้วยเพราะเคยเขียนถึงเรื่องวัฒนธรรมไว้หลายตอน แต่ส่วนใหญ่เป็นทฤษฎี มาใน blog นี้ เลยอยากชวนทุกคนได้ไปสัมผัสกับวัฒนธรรมผ่านวิถีของผู้คนจริงๆ โดยสถานที่ที่ผู้เขียนจะเลือกมาเล่านี้ยังสามารถเชื่อมโยงกับเรื่องความหลากหลาย หนึ่งในลักษณะเด่นของสังคมไทยได้ด้วย สถานที่นี้ก็คือ “ชุมชนกุฎีจีน” ชุมชนเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ในเขตธนบุรีปัจจุบัน อีกเหตุผลหนึ่งที่เลือกชุมชนนี้ ก็เพราะคือเส้นทางหนึ่งที่ผู้เขียนได้ทำทัวร์อยู่ เลยรู้สึกถึงความน่าสนใจทางวัฒนธรรมโดยเฉพาะในเรื่องความหลากหลายแต่สามารถหลอมรวมกันได้อย่างลงตัว

ภาพของชุมชนกุฎีจีน เมื่อมองจากแม่น้ำเจ้าพระยา
ภาพของชุมชนกุฎีจีน เมื่อมองจากแม่น้ำเจ้าพระยา

ชุมชนกุฎีจีน : ชุมชนฝั่งธนที่มีประวัติย้อนหลังได้ถึงสมัยธนบุรี

ชุมชนกุฎีจีนเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาหรือก็คือฝั่งธนบุรีนั่นเอง โดยประวัติของชุมชนนี้เริ่มต้นที่สมัยธนบุรี (พ.ศ. 2310–2325)


เวลาไปเที่ยวและอยากค่อยๆ สัมผัสตั้งแต่จุดเริ่มต้นของชุมชนนี้ ผู้เขียนแนะนำให้ไปที่ ศาลเจ้าเกียนอันเก่ง และโบสถ์ซานตาครูสก่อนเลย รับรองได้อินตั้งแต่จุดเริ่มแน่นอน ดังนั้นไม่รอช้า เราไปย้อนหลังประวัติของชุมชน ผ่านสองสถานที่นี้กัน


ศาลเจ้าเกียนอันเก่ง (ศาลเจ้าแม่กวนอิม)

หน้าประตูทางเข้าศาลเจ้า มีอักษรจีนเขียนว่า เกียนอันเก่ง อันเป็นชื่อของศาลเจ้านี้
หน้าประตูทางเข้าศาลเจ้า มีอักษรจีนเขียนว่า เกียนอันเก่ง อันเป็นชื่อของศาลเจ้านี้

“เกียนอันเก่ง” เป็นศาลเจ้าของชาวจีนเชื้อสายฮกเกี้ยน โดยหากดูจากชื่อ คือ 建安宫 (สำเนียงฮกเกี้ยน คือ เกียนอันเก่ง แต่ถ้าสำเนียงจีนกลาง คือ เจี้ยนอันกง) จะแปลตรงๆ ได้ว่า อาคารที่สร้างความสงบสุขร่มเย็นแก่ชาวฮกเกี้ยน ซึ่งหากใครเข้าไปชมภายในศาลก็จะสัมผัสถึงความรู้สึกนี้ได้ในทันที


“กุฎีจีน” ซึ่งเป็นชื่อของชุมชนแห่งนี้ ก็หมายถึง ศาลเจ้าแห่งนี้นั่นหละครับ โดยความหมายของคำว่า “กุฎี” ตามพจนานุกรม แปลได้ 2 ความหมาย คือ


ความหมายแรก : มาจากภาษาบาลี แปลว่า กุฏิหรือที่พัก

ความหมายที่สอง : ศาสนสถานของศาสนาอื่น


แต่ไม่ว่าจะเป็นความหมายไหนก็เชื่อมโยงกับศาลเจ้าแห่งนี้ได้ทั้งหมด หากเป็นความหมายแรกที่ว่าเป็นกุฏิ จะสื่อถึงที่พักของพระสงฆ์จีน คือ เชื่อกันว่าภายในศาลเจ้าจะมีพื้นที่ซึ่งเคยเป็นห้องที่พระสงฆ์จีนอาศัยอยู่ ส่วนหากเป็นความหมายที่สอง ก็จะสื่อถึงศาสนสถานตามความเชื่อของชาวจีน


ประวัติหรือความเป็นมาของศาลเจ้า


แรกเริ่มบริเวณพื้นที่นี้มีศาลเจ้าอยู่ 2 ศาล คือ ศาลเจ้ากวนอู และศาลเจ้าโจวซือกง สร้างโดยชาวจีนฮกเกี้ยนที่ติดตามพระเจ้าตากสินมายังกรุงธนบุรี ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 3 (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) บรรพบุรุษของตระกูลตันติเวชกุลและตระกูลสิมะเสถียรได้เดินทางมาสักการะและเห็นสภาพที่ทรุดโทรมจึงร่วมกันสร้างศาลเจ้าใหม่ในพื้นที่เดิม และยังได้เปลี่ยนเทพประธานเป็นเจ้าแม่กวนอิม โดยช่วงแรกๆ มีภิกษุจีนอยู่จริงจึงกลายเป็นที่มาของชื่อกุฎีจีน ดังที่ผู้เขียนได้เขียนไปตั้งแต่ต้น


สถาปัตยกรรม; ความใส่ใจในแบบชาวจีนฮกเกี้ยน


เมื่อแรกก้าวเข้ามาที่บริเวณลานโล่งหน้าศาลเจ้านั้น สิ่งที่เราทุกคนจะมองเห็นอันดับแรกเลย คือ สถาปัตยกรรมในลักษณะแบบจีนฮกเกี้ยนซึ่งจะต่างจากแบบจีนแต้จิ๋วอย่างชัดเจน นั่นคือ ทรงของหลังคาที่จะมีความลาดเอียงมากกว่า สีตกแต่งที่ดูไม่ฉูดฉาด บานประตูก็จะทำเป็นภาพวาดเขียนสีซึ่งใหญ่กว่าที่อื่น หน้าต่างแกะสลักจากไม้ในลวดลายมังกร มีสี่บาน สองบานตรงกลางทำเป็นรูปสี่เหลี่ยม ในขณะที่อีกสองบาน ด้านซ้ายและขวาทำเป็นรูปวงกลม เหนือบานประตูตรงกลางแกะสลักด้วยไม้และมีป้ายชื่อศาลเกียนอันเก่งเขียนไว้เป็นอักษรจีน รายละเอียดเหล่านี้ล้วนเป็นเอกลักษณ์ทางศิลปะของชาวจีนฮกเกี้ยนซึ่งเน้นความสำคัญของการตกแต่งแม้รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ

บริเวณด้านหน้าของศาลเจ้า
บริเวณด้านหน้าของศาลเจ้า
ชื่อของศาลเจ้าบนบานประตูทางเข้า
ชื่อของศาลเจ้าบนบานประตูทางเข้า

อีกจุดที่ไม่อยากให้พลาด คือ บริเวณประตูด้านข้าง โดยประตูนี้เป็นประตูของพื้นที่ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่พำนักของภิกษุจีนเมื่อสมัยแรกเริ่มของศาลเจ้า ด้วยการมีต้นไม้อยู่ทั้งสองข้าง และรอยลอกบริเวณผนัง จึงทำให้พื้นที่นี้มีความลงตัวในการถ่ายรูปมาก ได้แบบ vintage เลยทีเดียว ลองจัดมุมถ่ายกันดู สวยแน่นอน ผู้เขียนรับประกัน…..

ประตูแดง ทางเข้าอาคารที่เชื่อว่าเคยเป็นที่พักของภิกษุจีนในอดีต
ประตูแดง ทางเข้าอาคารที่เชื่อว่าเคยเป็นที่พักของภิกษุจีนในอดีต

ภายในศาลเจ้า; สงบ พักใจ และขอพรให้เราสมปรารถนากับเจ้าแม่กวนอิมและองค์เทพหม่าโจ้ว


จากด้านนอก เราลองเข้าไปในตัวศาลกัน ภายในเราจะสัมผัสได้ถึงความเงียบสงบ ต่างจากศาลเจ้าอื่นๆ ที่เคยไปมาก เสียดายที่มีกฎห้ามถ่ายรูปเลยเก็บภาพบริเวณด้านในมาไม่ได้ แต่จะลงเป็นภาพเจ้าแม่กวนอิมที่เลือกจากinternet มาลงให้ดูละกันนะครับ เมื่อก้าวเข้ามาในศาล สิ่งแรกที่ทุกคนจะสังเกตเห็นได้คือบริเวณผนังใกล้ประตู จะทำเป็นภาพเขียนสีเทพอารักษ์ เมื่อเดินไปอีกนิดบริเวณด้านซ้ายจะพบกับเทพไช่ซิงเอี้ย เทพเจ้าที่อำนวยโชคด้านการเงิน ส่วนบริเวณตรงกลางด้านในจะประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิม องค์เทพประธานของศาลเจ้า และมีเจ้าแม่ทับทิมอยู่ด้านข้างด้วย นอกจากนี้ด้านข้างซ้ายและขวาจะวาง 18 อรหันต์ด้วย

เจ้าแม่กวนอิม และหม่าโจ๊วหรือเจ้าแม่ทับทิม (ด้านซ้ายและขวา) (ที่มาของภาพ : https://www.bangkokbigears.com/) โ
เจ้าแม่กวนอิม และหม่าโจ๊วหรือเจ้าแม่ทับทิม (ด้านซ้ายและขวา) (ที่มาของภาพ : https://www.bangkokbigears.com/) โ

พูดถึงเจ้าแม่กวนอิมแล้ว ท่านคือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรตามการตีความในพุทธศาสนามหายานแบบของจีนซึ่งภายหลังก็มีอิทธิพลต่อชาติที่ได้รับอารยธรรมจีนด้วยเช่นกัน จุดเน้นของเจ้าแม่คิดว่าทุกคนคงทราบดีอยู่แล้ว คือ เน้นเรื่องความเมตตากรุณา การช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ แต่สำหรับศาลเจ้าเกียนอันเก่งนี้ด้วยลักษณะเครื่องทรงของท่านที่เป็นชุดทรงงานบวกกับการวางคู่กับเจ้าแม่ทับทิม ซึ่งจะอำนวยเรื่องการเดินทาง การทำมาค้าขาย ดังนั้นผู้ที่มากราบไหว้ที่นี่จึงมักขอพรกันในเรื่อง “หน้าที่การงาน การทำธุรกิจให้สำเร็จเป็นส่วนใหญ่” เมื่อไหว้ขอพรกันแล้ว บริเวณพื้นที่ที่วางเจ้าแม่กวนอิมและหม่าโจ้ว ให้เราลองมองไปกำแพงด้านซ้ายและขวาจะพบกับจิตรกรรมฝาผนังเรื่องสามก๊ก แม้จะวาดไว้นานแล้ว แต่ก็ยังความสวยงามอยู่มาก


อาคารรอง; ภาพสะท้อนของการผสมผสานทางความเชื่อ


ทางด้านซ้ายมือของอาคารหลัก จะมีอาคารรอง ซึ่งเชื่อกันว่าเคยเป็นที่พำนักของภิกษุจีนในสมัยเริ่มแรก (ที่ประตูด้านนอก ผู้เขียนแนะนำว่า เป็นจุดถ่ายรูปแบบ vintage นั่นแหละ) ปัจจุบันพื้นที่หนึ่งของอาคารนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหลายองค์ในปางที่แตกต่างกัน และจะมีพระสังกัจจายน์วางอยู่ด้านหน้า หากเราสังเกตพุทธลักษณะของพระพุทธรูปเราจะรู้ทันทีว่าเป็นพระพุทธรูปแบบไทยในแนวนิกายเถรวาท ซึ่งถือว่าต่างไปจากเทพต่างๆ ที่เราได้เห็นมาในอาคารหลัก ที่เป็นเทพจีนในแนวลัทธิเต๋า หรือพระโพธิสัตว์ในแนวคิดพุทธศาสนานิกายมหายาน ลักษณะเช่นนี้เป็นการบ่งบอกถึงการเคารพความเชื่อหลักของคนไทยเดิมคือพุทธศาสนานิกายเถรวาท และยังสามารถชี้ถึงการผสมผสานทางความเชื่อในชุมชนกุฎีจีนได้อีกด้วย ยิ่งเมื่อรวมเข้ากับพระสังกัจจายน์ ที่ได้รับการนับถือและบูชาทั้งทางเถรวาทและมหายาน โดยส่วนใหญ่คนจะขอพรท่านในเรื่องโชคลาภ เรื่องของการผสมผสานทางความเชื่อนี้จึงยิ่งชัดเจน ตรงจุดนี้ยังมีตู้ที่เก็บป้ายวิญญาณบรรพชนของชาวจีนที่อาศัยยังชุมชนนี้ และมีเตาเผากระดาษเงินกระดาษทองเวลาที่เซ่นไหว้เทพหรือบรรพบุรุษด้วย


จากศาลเจ้าเกียนอันเก่ง สถานที่ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “กุฎีจีน” และเรื่องราวของชาวจีนภายใต้ความเชื่อและวัฒนธรรมของลัทธิเต๋า และพุทธศาสนานิกายมหายาน คราวนี้ผู้เขียนจะพาทุกคนไปยังพื้นที่วัฒนธรรมและความเชื่อจุดที่ 2 ของชุมชน “กุฎีจีน” อันสัมพันธ์กับชื่อที่ว่า “ฝรั่งหลังกะดีจีน” โดยจากศาลเจ้าเกียนอันเก่ง ให้เราเดินเลียบในเส้นทางริมแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นมาทางด้านฝั่งสะพานพระพุทธยอดฟ้า ไม่นานก็จะเจอที่นี่แล้ว


โบสถ์และชุมชนซานตาครูส

โบสถ์ซานตาครูส จากทางแม่น้ำเจ้าพระยา (ตอนที่ผู้เขียนถ่าย ทางเดินเลียบแม่น้ำยังทำไม่เสร็จ แต่ตอนนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วนะ)
โบสถ์ซานตาครูส จากทางแม่น้ำเจ้าพระยา (ตอนที่ผู้เขียนถ่าย ทางเดินเลียบแม่น้ำยังทำไม่เสร็จ แต่ตอนนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วนะ)

“โบสถ์ซานตาครูส” ถือเป็นสถานที่สำคัญอีกแห่งที่เป็นเอกลักษณ์ของ “ชุมชนกุฎีจีน” โดยด้านหน้าโบสถ์จะหันออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ดังนั้นถ้าเราเข้าด้านนี้ก็คือเราเข้าในฝั่งด้านหน้าของโบสถ์นั่นเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่อาคารสถานที่รวมถึงศาสนสถานสมัยก่อนจะหันออกสู่แม่น้ำ เนื่องจากเส้นทางน้ำถือเป็นเส้นทางสายหลักในการคมนาคมสื่อสารต่างจากปัจจุบันที่ถนนเป็นเส้นทางหลักแทน


ประวัติและที่มาของโบสถ์ซานตาครูส


“โบสถ์ซานตาครูส” เป็นโบสถ์คาทอลิก ประวัติของโบสถ์รวมถึงชุมชนบริเวณโบสถ์นี้ เริ่มต้นสมัยธนบุรีเช่นเดียวกับศาลเจ้าเกียนอันเก่ง โดยในช่วงการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ชาวโปรตุเกสได้มีส่วนในการช่วยเหลือพระเจ้าตากสินในการทำสงครามกับพม่า โดยเฉพาะความช่วยเหลือในด้านการพยาบาล ด้วยเหตุนี้พระเจ้าตากสินจึงได้มอบที่ดินผืนหนึ่งให้กับพวกเขา ซึ่งก็คือพื้นที่บริเวณโบสถ์ซานตาครูสนี้นั่นเอง


จากประวัติตรงนี้จึงชัดเจนว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ในชุมชนนี้ก็ล้วนแต่สืบเชื้อสายมาจากชาวโปรตุเกสตั้งแต่สมัยธนบุรีนู้นแหนะ แต่ด้วยการแต่งงานระหว่างชาวโปรตุเกสกับคนไทยในบริเวณพื้นที่นี้นับแต่อดีตมา จึงทำให้ทุกวันนี้คนในพื้นที่นี้ถูกหลอมรวมกลายเป็นคนไทยกันไปหมดแล้ว คงเหลือแต่ศาสนารวมถึงมรดกทางวัฒนธรรมบางอย่างที่ยังคงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน คืออะไรนั้น ผู้เขียนจะค่อยๆ พาทุกคนเข้าไปชมกันครับ

โบสถ์ซานตาครูส ในมุมด้านข้าง (ปกติคนส่วนใหญ่ชอบถ่ายจากด้านตรง แต่ความจริงโบสถ์นี้จะสวยและดูมีเอกลักษณ์ไปอีกแบบ ถ้าเราถ่ายจากด้านข้าง)
โบสถ์ซานตาครูส ในมุมด้านข้าง (ปกติคนส่วนใหญ่ชอบถ่ายจากด้านตรง แต่ความจริงโบสถ์นี้จะสวยและดูมีเอกลักษณ์ไปอีกแบบ ถ้าเราถ่ายจากด้านข้าง)

แม้ประวัติของโบสถ์ซานตาครูสจะย้อนหลังไปได้ถึงยุคธนบุรี แต่โบสถ์ซานตาครูสที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันนี้สร้างใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 6 นี้เองนะ ถือเป็นโบสถ์ซานตาครูสหลังที่สาม หลังแรกสร้างในปี พ.ศ. 2313 มีลักษณะเป็นอาคารไม้ขนาดเล็ก ใช้งานได้ 65 ปี ก็ทรุดโทรมลง จึงสร้างหลังที่สอง โดยหลังนี้จะมีรูปแบบสถาปัตยกรรมไปทางจีนอย่างชัดเจน อาจเป็นเพราะคนในชุมชนซานตาครูสนี้อาศัยอยู่ในใกล้กับชุมชนชาวจีนในบริเวณพื้นที่ศาลเจ้าเกียนอันเก่ง และวัดกัลยา จึงได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมมา (อีกทั้งมีชาวจีนส่วนใหญ่หันมานับถือคาทอลิกด้วย) โบสถ์หลังนี้ใช้ต่อมาอีก 81 ปี ก็ทรุดโทรมลง ในสมัยรัชกาลที่ 6 (พ.ศ. 2459) จึงมีการสร้างหลังใหม่ขึ้น ซึ่งก็คือหลังที่เราเห็นในปัจจุบัน


สถาปัตยกรรม : ความสวยงามกับส่วนผสมที่ลงตัว


ด้วยการที่โบสถ์หลังที่สามนี้สร้างในยุคที่อิทธิพลตะวันตกมีบทบาทต่อโลกมาก จึงไม่ต้องแปลกใจว่า รูปแบบทางสถาปัตยกรรมของโบสถ์หลังนี้จึงต้องมีลักษณะนี้เช่นกัน ที่น่าสนใจคือไม่ใช่แค่ศิลปะแบบเดียว แต่เป็นส่วนผสมระหว่าง 2 แบบ คือ Renaissance กับ Neo-Classic โดยจุดเด่นของโบสถ์อยู่ที่ทรงโดม ส่วนภายในตัวอาคารเพดานจะมีความสูงมาก จึงใช้เสาลอยรับน้ำหนักของฝ้าเพดานแบบโค้ง สำหรับใครที่สนใจจะเข้าชมภายในตัวโบสถ์ โบสถ์จะเปิดเพียง 2 ช่วง คือ เช้ากับเย็น ตามเวลาสวดภาวนาครับ

ภายในโบสถ์ จะเห็นชัดเจนว่าเพดานจะเป็นทรงโค้ง มีเสารับด้านข้าง
ภายในโบสถ์ จะเห็นชัดเจนว่าเพดานจะเป็นทรงโค้ง มีเสารับด้านข้าง

ในเรื่องของชื่อ คำว่า “ซานตาครูส (Santacruz)” ทุกคนคงน่าจะพอเดาได้จากประวัติของโบสถ์ที่ผู้เขียนได้เล่าไปตอนต้น ว่าต้องเป็นภาษาโปรตุเกสแน่นอน โดยคำว่า Santacruz หมายถึง กางเขนศักดิ์สิทธิ์ (Holy Cross) โดยที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะว่า ในวันที่โบสถ์ซานตาครูสหลังแรกเปิดตรงกับวันเฉลิมฉลองไม้กางเขน ตรงนี้เองเลยกลายเป็นชื่อของโบสถ์รวมถึงชุมชนบริเวณนี้ไปโดยปริยาย

ภาพบนฝาผนัง ทางเข้าชุมชนซานตาครูส ทำเป็นรูปแผนที่ชุมชนกุฎีจีน
ภาพบนฝาผนัง ทางเข้าชุมชนซานตาครูส ทำเป็นรูปแผนที่ชุมชนกุฎีจีน

จากบริเวณโบสถ์ หากเข้ามาทางเส้นทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา ทางซ้ายมือของโบสถ์จะเป็นเส้นทางเล็กๆ ที่นำเราเข้าสู่ชุมชน เมื่อเข้ามา จุดแรกที่จะเจอคือ ภาพวาดริมผนัง ที่ทำเป็นแผนที่ของชุมชนกุฎีจีนและพื้นที่บริเวณรอบข้าง ซึ่งทำให้เรามองเห็นผังของชุมชนได้ชัดเจน เดินไปอีกนิดก็จะเป็นตรอกเล็กๆ ที่มีภาพกราฟฟิตี้บอกเล่าวิถีชุมชนอยู่ แต่ด้วยพื้นที่ตรอกค่อนข้างเล็ก ใครที่อยากถ่ายภาพบริเวณพื้นที่นี้อาจต้องใช้ความพยายามซักเล็กน้อยนะ

ภาพกราฟิตี้บริเวณฝาผนังภายในชุมขนบอกเล่าวิถีชีวิตของคนในชุมชนจากอดีต
ภาพกราฟิตี้บริเวณฝาผนังภายในชุมขนบอกเล่าวิถีชีวิตของคนในชุมชนจากอดีต
ภาพประเพณีการลอยกระทง
ภาพประเพณีการลอยกระทง
ทางเข้าชุมชนซานตาครูส มีกระถางต้นไม้วางประดับอย่างสวยงาม
ทางเข้าชุมชนซานตาครูส มีกระถางต้นไม้วางประดับอย่างสวยงาม

ตลอดทางของชุมชนเราจะเห็นการตกแต่งพื้นที่ได้อย่างลงตัวกับโครงสร้างบ้านเรือน ที่ชอบมาก คือ การนำกระถางต้นไม้เล็กๆ มาจัดเรียง ตรงนี้เคยพานักท่องเที่ยวมาเดิน เค้าชมมากว่าดูน่ารักเก๋ไก๋ดี และยังมีอีกหลายจุดที่จะแชะแค่ภาพซีน จะเซลฟี่ หรือถ่ายแบบ portrait ก็เรียกได้ว่าสวยลงตัวหมด ดังนั้นคนที่ชอบถ่ายภาพห้ามพลาดเชียว

บริเวณด้านหน้าทางเข้าพิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน
บริเวณด้านหน้าทางเข้าพิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน

จากบริเวณตรอกที่มีภาพกราฟฟิตี้ เดินมาอีกนิดหนึ่งก็จะเจอ “พิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน” ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยคุณนาวินี พงศ์ไทย เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ภาษา ศาสนาและรากเหง้าของ ชุมชนกุฎีจีน โดยพื้นที่ของพิพิธภัณฑ์เป็นบ้านส่วนตัว 3 ชั้น ชั้นล่างจะเป็นร้านกาแฟและร้านขายของที่ระลึก ส่วนพิพิธภัณฑ์จะอยู่ชั้น 2 และ 3

ทางเข้าส่วนจัดแสดง
ทางเข้าส่วนจัดแสดง
เครื่องเทศ สินค้าสำคัญที่ชาวโปรตุเกสต้องการในสมัยอยุธยา
เครื่องเทศ สินค้าสำคัญที่ชาวโปรตุเกสต้องการในสมัยอยุธยา

ชั้น 2 จัดแสดงในหัวข้อ “กำเนิดสยามโปรตุเกส” บอกเล่าถึงการเข้ามาของชาวโปรตุเกสนับตั้งแต่สมัยอยุธยา การก่อตั้งชุมชน รวมถึงอิทธิพลทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของชาวโปรตุเกสต่อสยาม เช่นเรื่องอาหาร ภาษา

ชั้น 3 จัดแสดงในหัวข้อ “กำเนิดกุฎีจีน” บอกเล่าถึงที่มาของชุมชนนับตั้งแต่ได้รับพระราชทานที่ดินจากสมเด็จพระเจ้าตากสิน รวมถึงจัดแสดงเกี่ยวกับวิถีชีวิตของผู้คนในชุมชนคาทอลิกแห่งนี้

ree
โมเดลจำลองอาหารของชาวโปรตุเกส
โมเดลจำลองอาหารของชาวโปรตุเกส
ภาพมุมสูงของชุมชนกุฎีจีน จากบริเวณชั้นดาดฟ้าของพิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน
ภาพมุมสูงของชุมชนกุฎีจีน จากบริเวณชั้นดาดฟ้าของพิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน

Highlight ที่ไม่อยากให้ทุกคนพลาดในชั้นนี้ คือ แบบจำลองโบสถ์ซานตาครูสทั้ง 3 หลัง ซึ่งผู้เขียนได้เขียนไว้แล้วตรงส่วนประวัติของโบสถ์ มาตรงนี้ทุกคนจะเห็นพัฒนาการของโบสถ์ได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีการจำลองห้องนอน รวมถึงอาหารของชาวโปรตุเกสให้เห็นด้วย เรียกว่ายั่วน้ำลายได้เลยแหละ แม้จะเป็นของจำลองก็ตาม เมื่อเสร็จจากชั้นนี้แล้ว หากมีเวลาอย่าเพิ่งรีบลงกันนะ แนะนำว่าให้ขึ้นไปชมวิวของชุมชนกุฎีจีนที่ชั้นดาดฟ้า จะเห็นถึงสถาปัตยกรรม ผังบ้านเรือนชุมชน สถานที่ใกล้เคียงได้อย่างชัดเจน

ทางเข้า ร้านอาหารของชุมชน "บ้านสกุลทอง"
ทางเข้า ร้านอาหารของชุมชน "บ้านสกุลทอง"

สำหรับใครที่เห็นแบบจำลองอาหารโปรตุเกสแล้วอยากลิ้มลองรสชาติ ผู้เขียนแนะนำว่าพอเดินออกจากบ้านพิพิธภัณฑ์ให้เลี้ยวซ้าน เดินไปอีกนิดจะเจอบ้านที่เขียนหน้าบ้านว่า “บ้านสกุลทอง” ซึ่งจะมีอาหารไทย-โปรตุเกสไว้ให้ทุกคนที่อยากสัมผัสรสชาติได้ลองเข้ามาทานกัน เมนูเด่นๆ ที่ไม่ควรพลาด เช่น หมู/เนื้อซัลโม ขนมจีนแกงไก่คั่ว / จีบตัวนก / กุ้งกระจกม้วน / ส้มฉุน ถ้ามาวันเสาร์-อาทิตย์ จะสามารถ walk-in เข้ามานั่งทานได้เลย แต่ถ้าเป็นวันธรรมดาหรืออยากทานเป็นแบบ Private Course ให้นัดหมายล่วงหน้าอย่าน้อย 3 วัน ผ่านเบอร์โทร 062-605-5995

ชุดอาหารคาว และอาหารหวานของบ้านสกุลทอง
ชุดอาหารคาว และอาหารหวานของบ้านสกุลทอง

พูดถึงอาหารแล้ว มีขนมที่เรียกได้ว่าเป็นอัตลักษณ์ของชุมชนกุฎีจีนและสะท้อนการผสมผสานทางวัฒนธรรมได้อย่างลงตัวนั่นคือ “ขนมฝรั่งกุฎีจีน” ขนมเค้กชิ้นแรกๆ ที่เริ่มทำในไทย รูปร่างของขนมคล้ายขนมไข่ กรอบนอกนุ่มใน มีรสชาติที่ลงตัวมาก โดยการทำขนมทุกวันนี้ยังคงใช้เตาถ่านแบบโบราณอยู่

จากการจัดเตรียมวัตถุดิบในครัว สู่ขนมในเตาอบที่หอมกรุ่น
จากการจัดเตรียมวัตถุดิบในครัว สู่ขนมในเตาอบที่หอมกรุ่น

การทำขนมฝรั่งได้รับอิทธิพลมาจากชาวโปรตุเกสนับตั้งแต่สมัยอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีวัตถุดิบสามอย่าง คือ แป้งสาลี ไข่เป็ด และน้ำตาลทราย โดยนำมาตีให้ส่วนผสมเข้ากันจนขึ้นฟูและนำมาเทลงบนแม่พิมพ์ จากนั้นโรยหน้าขนมด้วย ลูกเกด ลูกพลับ ฟักเชื่อม รวมถึงน้ำตาลทราย อันเป็นวัฒนธรรมจีน ส่วนที่โรยหน้านี้ล้วนมีความหมายซ่อนอยู่ ฟักเชื่อมก่อให้เกิดความร่มเย็น น้ำตาลทรายก่อให้เกิดความมั่งคั่งไม่รู้จบ ลูกพลับอบแห้งและลูกเกดถือเป็นของมีราคาแพงและให้คุณค่าทางอาหาร

จะว่าไปแล้ว ขนมฝรั่งทานคู่กับโกโก้ ก็อร่อยไปอีกแบบนะ..
จะว่าไปแล้ว ขนมฝรั่งทานคู่กับโกโก้ ก็อร่อยไปอีกแบบนะ..

ปัจจุบันมีร้านที่ขายขนมฝรั่งกุฎีจีนเหลือไม่มาก โดยร้านที่ผู้เขียนจะแนะนำ คือ ร้านธนูสิงห์ จะอยู่ด้านใน ใกล้ๆ กับเรือนจันทนภาพ รสชาติกรอบนอกนุ่มใน ไม่หวานไป ไม่เลี่ยน โดยร้านธนูสิงห์เปิดเป็นคาเฟ่ด้วย ไปนั่งจิบกาแฟ ชา หรือโกโก้ควบคู่กับทานขนมฝรั่งก็ได้รสชาติไปอีกแบบนะ คนขายก็ friendly เป็นกันเองมากเลย

หนึ่งในบริเวณที่ไม่ควรลืมเก็บภาพไว้ แมกไม้ด้วยธรรมชาติแท้จริง
หนึ่งในบริเวณที่ไม่ควรลืมเก็บภาพไว้ แมกไม้ด้วยธรรมชาติแท้จริง
ส่วนหลังคาของเรือนจันทภาพ บริเวณหน้าบันทำเป็นลายแสงอาทิตย์
ส่วนหลังคาของเรือนจันทภาพ บริเวณหน้าบันทำเป็นลายแสงอาทิตย์

ทานกันอิ่มแล้วก็อย่าเพิ่งรีบเดินออกจากชุมชนไปก่อนหละ ใกล้ๆ กับร้านธนูสิงห์ จะเป็นเรือนจันทนภาพ ผู้เขียนเคยเข้าไปเยี่ยมในเรือนครั้งหนึ่งกับเพื่อนๆ พี่ๆ ที่เรียนไกด์มาด้วยกัน เจ้าของ คือ คุณป้าแดง จารุภา เล่าว่าเรือนนี้รื้อมาจากเมืองจันทบุรี เป็นเรือนไทยไม้สักแบบวิคตอเรียนที่สร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จุดที่น่าสนใจของเรือนไม้สักแห่งนี้อยู่ที่หน้าจั่วที่ทำเป็นลักษณะลายแสงอาทิตย์ ส่วนบริเวณหย่องหน้าต่างและซุ้มประตูจะแกะสลักลวดลายพุดตานแบบจีน เฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งภายในจะเป็นแนวตะวันตก เรียกว่าผสมวัฒนธรรมหลากหลายได้อย่างลงตัวเชียวหละ ปกติหากใครสนใจเข้าเยี่ยมชมเรือนจันทนภาพติดต่อผ่านทางชุมชนก่อนนะครับ เพราะคุณป้าแดงไม่ได้อยู่ประจำที่เรือนนี้

บริเวณหย่องหน้าต่างแกะสลักลวดลายพุดตานแบบจีน
บริเวณหย่องหน้าต่างแกะสลักลวดลายพุดตานแบบจีน
คุณป้าแดง เจ้าของเรือนจันทภาพ และภาพภายในของเรือน
คุณป้าแดง เจ้าของเรือนจันทภาพ และภาพภายในของเรือน

ก่อนเดินลัดเลาะออกจากชุมชน จะผ่านเรือนไม้ทรงบ้านขนมขิงที่เราเห็นเวลาเราเดินผ่านเส้นทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาระหว่างทางจากโบสถ์ซานตาครูสไปถึงศาลเจ้าเกียนอันเก่ง แต่คราวนี้เราจะเห็นบริเวณทางเข้าของบ้าน ก็ดูได้อารมณ์ไปอีกแบบหนึ่ง


สำหรับชุมชนกุฎีจีน ชุมชนแห่งความหลากหลายทางวัฒนธรรมนี้ ยังเหลือสถานที่สำคัญอีก 2 ที่ ที่ผู้เขียนยังไม่ได้พาทุกคนไป เนื่องจากบทความนี้เริ่มยาวละ ยังไงขอยกยอดไปบทต่อไปละกันนะ จะเป็นที่ไหนนั้น รอติดตามกันนะทุกคน…

ความคิดเห็น


bottom of page